ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ฐานข้อมูลโอเพนซอร์สคืออะไร

ฐานข้อมูลโอเพนซอร์สเป็นโซลูชันฐานข้อมูลที่สามารถใช้ซอร์สโค้ดสำหรับการใช้งานและการปรับแต่งได้ฟรี ชุมชนนักพัฒนาดูแลและเพิ่มฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้กับโค้ดโอเพนซอร์ส โดยเป็นการดำเนินงานที่ไม่แสวงหาผลกำไรใในการทำให้เข้าถึงเทคโนโลยีได้อย่างอิสระเพื่อนวัตกรรมทั่วโลก ฐานข้อมูลโอเพนซอร์สทำให้ทุกคนสามารถเริ่มต้นพัฒนาแอปพลิเคชันได้ อย่างไรก็ตาม ฐานข้อมูลก็จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคและการจัดการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อตั้งค่าและใช้งานในวงกว้าง

ฐานข้อมูลแบบจำกัดสิทธิ์และฐานข้อมูลโอเพนซอร์สแตกต่างกันอย่างไร

ฐานข้อมูลแบบจำกัดสิทธิ์สร้าง บำรุงรักษา และให้สิทธิ์การใช้งานโดยผู้ให้บริการฐานข้อมูลเชิงพาณิชย์  ตัวอย่างเช่น Microsoft SQL Server เป็นระบบการจัดการฐานข้อมูลแบบจำกัดสิทธิ์ที่เป็นกรรมสิทธิ์

ข้อจำกัด

ซอร์สโค้ดพื้นฐานของฐานข้อมูลแบบจำกัดสิทธิ์นั้นมีผู้จำหน่ายฐานข้อมูลเป็นเจ้าของ ซึ่งแตกต่างจากฐานข้อมูลโอเพนซอร์ส ซึ่งหมายความว่านักพัฒนาไม่สามารถทำการเปลี่ยนแปลงหรือปรับแต่งฐานข้อมูลแบบจำกัดสิทธิ์นอกเหนือจากสิ่งที่ผู้จำหน่ายอนุญาตได้

Vendor Lock-In

การใช้ฐานข้อมูลแบบจำกัดสิทธิ์มักมี Vendor Lock-In ซึ่งทำให้องค์กรต้องพึ่งพาเครื่องมือของผู้จำหน่ายและโซลูชันที่เกี่ยวข้อง การเปลี่ยนไปใช้ระบบฐานข้อมูลอื่นอาจมีความซับซ้อน มีค่าใช้จ่ายสูง และใช้เวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผสานรวมฐานข้อมูลกับการดำเนินธุรกิจแล้ว

ค่าใช้จ่าย

ฐานข้อมูลโอเพนซอร์สสามารถดาวน์โหลดเพื่อการใช้งานเชิงพาณิชย์ได้ฟรี ในขณะที่ฐานข้อมูลแบบจำกัดสิทธิ์นั้น บริษัทต่าง ๆ จะต้องจ่ายเงินเพื่อรับสิทธิ์การใช้งานและจัดเก็บข้อมูลในฐานข้อมูล

การตั้งค่า

การตั้งค่าฐานข้อมูลแบบจำกัดสิทธิ์เป็นกระบวนการที่ตรงไปตรงมา ในทางตรงกันข้าม คุณอาจต้องการความช่วยเหลือในการจัดเตรียมฐานข้อมูลโอเพนซอร์ส เนื่องจากขั้นตอนที่เกี่ยวข้องมีความซับซ้อนมากกว่า

การสนับสนุน

เมื่อใช้ฐานข้อมูลแบบจำกัดสิทธิ์ ทีมพัฒนาจะได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากผู้จำหน่าย ตัวอย่างเช่น คุณสามารถส่งคำขอฟีเจอร์ ซึ่งจะนำไปใช้ในการอัปเดตครั้งต่อ ๆ ไปได้ ในขณะที่ฐานข้อมูลโอเพนซอร์สจะไม่มีการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ซึ่งหมายความว่าคุณจะต้องอาศัยชุมชนในการแก้ปัญหา

ผู้จำหน่ายฐานข้อมูลมักจะสร้างฐานข้อมูลโอเพนซอร์สของตนเองเพื่อการกระจาย พร้อมทั้งให้บริการสนับสนุนด้านเทคนิคด้วย

ตัวอย่างของฐานข้อมูลโอเพนซอร์สมีอะไรบ้าง

ฐานข้อมูลโอเพนซอร์สช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์จัดเก็บข้อมูลประเภทต่าง ๆ ด้วยต้นทุนเริ่มต้นที่น้อยที่สุด โดยทั่วไปจะจัดกลุ่มออกเป็นสองประเภท ได้แก่ แบบเชิงสัมพันธ์และไม่ใช่เชิงสัมพันธ์

  • ฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ช่วยให้นักพัฒนาสามารถจัดระเบียบข้อมูลเป็นตารางที่มีคอลัมน์และแถว สนับสนุนฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น คีย์ ความสัมพันธ์ และขั้นตอนที่จัดเก็บไว้
  • ฐานข้อมูลที่ไม่ใช่เชิงสัมพันธ์จัดเก็บข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างหรือกึ่งโครงสร้างในรูปแบบอื่น เช่น กราฟิก เอกสาร และคอลัมน์จำนวนมาก

นักพัฒนาอาจใช้ฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์หรือฐานข้อมูลที่ไม่ใช่เชิงสัมพันธ์ โดยขึ้นอยู่กับความต้องการของโครงการและประเภทข้อมูล เราจะแสดงตัวอย่างฐานข้อมูลทั่วไปที่คุณสามารถเริ่มต้นใช้งานได้ 

MySQL

MySQL เป็นระบบการจัดการฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์โอเพนซอร์สยอดนิยม ทีมซอฟต์แวร์เลือก MySQL เนื่องจากสามารถจัดการธุรกรรมจำนวนมากได้อย่างน่าเชื่อถือ MySQL ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับธุรกรรม ACID ACID หมายถึง Atomicity (การรับประกันความถูกต้องของฐานข้อมูล) Consistency (ความสอดคล้อง) Isolation (การแยกแยะ) และ Durablility (ความทนทาน) โดยเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าธุรกรรมยังคงสอดคล้องกันและแม่นยำแม้วจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น

MariaDB

MariaDB เป็นฐานข้อมูลฟรีที่ในตอนแรกมีจุดมุ่งหมายเพื่อแทนที่ MySQL โดย MariaDB รองรับฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์และการทำธุรกรรมที่สอดคล้องกับ ACID เช่นเดียวกับ MySQL อย่างไรก็ตาม MariaDB ยังสามารถจัดเก็บข้อมูลที่ไม่ใช่โครงสร้างซึ่งขยายขอบเขตกรณีการใช้งานของฐานข้อมูล MariaDB ได้รับการออกแบบมาเพื่อจัดการกับธุรกรรมที่รวดเร็วและซับซ้อน มักใช้ในเว็บและแอปพลิเคชันอีคอมเมิร์ซ

PostgreSQL

PostgreSQL เป็นระบบการจัดการฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์อ็อบเจ็กต์ที่มีประสิทธิภาพ พัฒนาโดย PostgreSQL Global Development Group ซึ่งฐานข้อมูลรองรับทั้งการสืบค้น SQL และ NoSQL นอกจากการจัดการข้อมูลธุรกรรมทั่วไปแล้ว PostgreSQL ยังสามารถดำเนินการสืบค้นที่ซับซ้อนได้ ซึ่งเหมาะสำหรับแอปพลิเคชันการวิเคราะห์ คลังข้อมูล และโครงการแมชชีนเลิร์นนิง

ฐานข้อมูล NoSQL เป็นโอเพนซอร์สหรือไม่

ฐานข้อมูล NoSQL เป็นระบบฐานข้อมูลที่จัดเก็บข้อมูลในโครงสร้างที่ไม่ใช่เชิงสัมพันธ์ ฐานข้อมูล NoSQL จำนวนมากให้บริการโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตัวอย่างเช่น คุณสามารถดาวน์โหลดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลและฐานข้อมูลคีย์-ค่า NoSQL เช่น Valkey, Memcached และ MongoDB ได้ฟรี ฐานข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้นักพัฒนาสามารถจัดเก็บ จัดการ และจัดระเบียบข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างได้ในทุกระดับ

อย่างไรก็ตาม MongoDB ไม่ถือเป็นฐานข้อมูลโอเพนซอร์สอย่างแท้จริง ฐานข้อมูลโอเพนซอร์ให้สิทธิ์การใช้งานภายใต้ใบอนุญาตกอปปีเลฟต์ เช่น General Public License (GPL) ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถใช้ แก้ไข และเผยแพร่ซอฟต์แวร์เพื่อวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์ได้อย่างอิสระ

ในขณะที่ MongoDB ให้สิทธิ์การใช้งานภายใต้ใบอนุญาต Server Side Public License (SSPL) หากมีคนเสนอบริการ MongoDB ผู้ให้บริการจะต้องทำให้ซอร์สโค้ดซอฟต์แวร์ทั้งหมด รวมถึงฐานข้อมูล MongoDB เผยแพร่ต่อสาธารณะ ด้วยเหตุนี้ Open Source Initiative (OSI) จึงไม่ยอมรับ SSPL ในฐานะโอเพนซอร์ส ดังนั้น จึงถือว่า MongoDB มีแหล่งข้อมูลแทนที่จะเป็นโอเพนซอร์ส

คุณควรใช้ฐานข้อมูลโอเพนซอร์สเมื่อใด

ฐานข้อมูลโอเพนซอร์สสามารถจัดเก็บข้อมูลสำหรับแอปพลิเคชันหลายประเภท รวมถึงระบบการจัดการเนื้อหา ระบบส่งข้อความ แอปพลิเคชันระดับองค์กร และแอปพลิเคชันแบบกำหนดเอง ด้วยฐานข้อมูลโอเพนซอร์ส คุณจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และหลีกเลี่ยง Vendor Lock-In เมื่อสร้างซอฟต์แวร์ได้

อย่างไรก็ตาม ฐานข้อมูลนี้อาจมีการสนับสนุนทางเทคนิคที่จำกัด ยิ่งไปกว่านั้น คุณควรใช้ความระมัดระวังเมื่อพิจารณาการใช้ฐานข้อมูลโอเพนซอร์สสำหรับผลิตภัณฑ์ SaaS เนื่องจากฐานข้อมูลฟรีบางแห่งไม่มีสิทธิ์การใช้งานสำหรับการเผยแพร่เชิงพาณิชย์หรือมีการใช้งานด้านการผลิตที่จำกัด

ตัวอย่างเช่น MongoDB ใช้สิทธิ์การใช้งาน Server Side Public License (SSPL) ในขณะที่ MariaDB ใช้สิทธิ์การใช้งาน Business Source License (BSL) ซึ่งมีข้อจำกัดทางกฎหมาย หากคุณให้บริการฐานข้อมูลพร้อมกับซอฟต์แวร์ที่โฮสต์บนคลาวด์ จะเป็นการละเมิดสิทธิ์การใช้งานเชิงพาณิชย์เว้นแต่คุณจะทำข้อตกลงล่วงหน้ากับผู้จำหน่าย

ฐานข้อมูลโอเพนซอร์สมีประโยชน์อย่างไร

บริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็วและองค์กรขนาดใหญ่มักเลือกใช้ฐานข้อมูลโอเพนซอร์สด้วยเหตุผลเหล่านี้

ต้นทุนต่ำ

ฐานข้อมูลโอเพนซอร์สสามารถใช้งานได้ฟรี ซึ่งหมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าธรรมเนียมหรือสมัครใช้งาน

การสนับสนุนจากชุมชน

เครื่องมือที่ครอบคลุมและการสนับสนุนชุมชน นักพัฒนามีส่วนร่วมในฟีเจอร์ใหม่ การอัปเดต และการตอบสนองต่อรายงานข้อบกพร่องอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเร่งการปรับปรุงฐานข้อมูล

การปรับแต่ง

นักพัฒนาสามารถแก้ไขซอร์สโค้ดของฐานข้อมูลเพื่อให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของโครงการ

ความสามารถในการปรับขนาด

ฐานข้อมูลโอเพนซอร์สออกแบบมาเพื่อจัดการธุรกรรมจำนวนมากพร้อมกันโดยไม่กระทบต่อความสมบูรณ์ของข้อมูล

การรักษาความปลอดภัย

นักพัฒนาที่ใช้ฐานข้อมูลจะตรวจสอบ รายงาน และแก้ไขช่องโหว่ที่พบอย่างต่อเนื่อง

ความท้าทายของฐานข้อมูลโอเพ่นซอร์สมีอะไรบ้าง

แม้ว่าฐานข้อมูลโอเพนซอร์สจะมีข้อดีหลายประการ แต่ก็อาจไม่เหมาะสมในกรณีการใช้งานบางกรณี โดยเราได้สรุปความท้าทายทั่วไปที่นักพัฒนาพบเมื่อใช้ระบบฐานข้อมูลโอเพนซอร์ส

การสนับสนุนที่จำกัด

ไม่มีการรับประกันว่าคุณจะได้รับการสนับสนุนระดับมืออาชีพอย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตาม ผู้จำหน่ายบางรายเปิดตัวฐานข้อมูลโอเพนซอร์สของตนเองเพื่อการกระจาย ซึ่งโดยทั่วไปก็จะให้การสนับสนุนด้วย

การตั้งค่าที่ซับซ้อน

อาจต้องใช้เวลาและความพยายามมากกว่าที่คาดไว้ในการติดตั้ง กำหนดค่า และเปิดใช้งานฐานข้อมูลโอเพนซอร์ส ผู้ให้บริการระบบคลาวด์เช่น AWS จัดการกับความท้าทายเหล่านี้โดยทำให้คุณสามารถตั้งค่าฐานข้อมูลที่เข้ากันได้กับโอเพนซอร์สเป็นบริการที่มีการจัดการ

AWS รองรับความต้องการฐานข้อมูลโอเพนซอร์สของคุณได้อย่างไร

AWS ให้บริการฐานข้อมูลที่จัดการด้วยระบบคลาวด์ซึ่งช่วยให้องค์กรจัดเก็บ จัดการ และวิเคราะห์ข้อมูลได้ในราคาไม่แพง แทนที่จะตั้งค่าฐานข้อมูลตั้งแต่เริ่มต้น เราจะจัดเตรียมข้อมูลเหล่านั้นให้คุณโดยอัตโนมัติ เพื่อให้คุณสามารถสร้างแอปพลิเคชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่และขับเคลื่อนด้วยข้อมูลได้ทุกที่

  • Amazon RDS สำหรับ MySQL ช่วยให้คุณสามารถตั้งค่า ใช้งาน และปรับขนาดฐานข้อมูล MySQL ด้วยโครงสร้างพื้นฐานในระบบคลาวด์ที่ประหยัดค่าใช้จ่าย
  • Amazon RDS สำหรับ PostgreSQL ให้การเข้าถึงเอนจินฐานข้อมูลโอเพนซอร์สที่คุ้นเคยโดยไม่ต้องตั้งค่าที่ใช้เวลานาน
  • Amazon Aurora ให้ประสิทธิภาพและความพร้อมใช้งานสูงอย่างเหนือชั้นในระดับโลกสำหรับ PostgreSQL, MySQL และ DSQL
  • Amazon ElastiCache เป็นบริการแคชที่มีการจัดการอย่างเต็มรูปแบบเพื่อการดำเนินการจัดเก็บข้อมูลคีย์-ค่า เช่น Valkey, Memcached และ Redis OSS โดยมีความล่าช้าระดับไมโครวินาที

เริ่มต้นใช้งานโครงสร้างพื้นฐานสำหรับฐานข้อมูลโอเพนซอร์สบน AWS ด้วยการสร้างบัญชีฟรีวันนี้