พร็อกซีของ Amazon RDS เป็นพร็อกซีที่ได้รับการจัดการเต็มรูปแบบและพร้อมใช้งานเต็มรูปแบบสำหรับ Amazon Relational Database Service (RDS) ที่ทำให้แอปพลิเคชันปรับขนาดได้มากขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้นกับความล้มเหลวของฐานข้อมูล และปลอดภัยมากขึ้น
แอปพลิเคชันมากมาย รวมถึงแอปพลิเคชันที่ถูกสร้างขึ้นบนสถาปัตยกรรมที่ไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ สามารถมีการเชื่อมต่อเปิดจำนวนมหาศาลไปยังเซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูล และอาจเปิดและปิดการเชื่อมต่อฐานข้อมูลในอัตราที่สูง ใช้หน่วยความจำและทรัพยากรการประมวลผลจดหมด พร็อกซีของ Amazon RDS อนุญาตให้แอปพลิเคชันพูลและแบ่งปันการเชื่อมต่อที่สร้างขึ้นกับฐานข้อมูล ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพฐานข้อมูลและความสามารถในการปรับขนาดของแอปพลิเคชัน ด้วย RDS Proxy จำนวนครั้งการใช้ระบบสำรองเพื่อกู้คืนข้อมูลสำหรับฐานข้อมูล Aurora และ RDS จะลดลงสูงถึง 66% และฐานข้อมูลของข้อมูลประจำตัว การตรวจสอบสิทธิ์และการเข้าถึงสามารถจัดการได้ผ่านการผสานการทำงานกับ AWS Secrets Manager และ AWS Identity and Access Management (IAM)
พร็อกซีของ Amazon RDS สามารถเปิดใช้งานได้ สําหรับแอปพลิเคชันส่วนใหญ่โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงโค้ด คุณไม่จําเป็นต้องจัดเตรียมหรือจัดการโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมใดๆ เพื่อเริ่มใช้ RDS Proxy การกําหนดราคานั้นง่ายและขึ้นอยู่กับความสามารถในการรองรับงานของอินสแตนซ์ฐานข้อมูลพื้นฐาน คุณชําระเงินต่อ Aurora Capacity Unit (ACU) สําหรับอินสแตนซ์ Amazon Aurora Serverless v2 หรือต่อ vCPU สําหรับอินสแตนซ์ที่มีการเตรียมใช้งาน พร็อกซีของ Amazon RDS มีให้ใช้งานสำหรับ Amazon Aurora PostgreSQL-Compatible Edition, Amazon Aurora MySQL-Compatible Edition, Amazon RDS สำหรับ PostgreSQL, Amazon RDS สำหรับ MySQL, Amazon RDS สำหรับ MariaDB และ Amazon RDS สำหรับ SQL Server
ประโยชน์ของพร็อกซี RDS
วิธีทำงาน
พร็อกซีของ Amazon RDS อยู่ระหว่างแอปพลิเคชันและฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ของคุณ เพื่อจัดการการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ และปรับปรุงความสามารถในการปรับขนาดของแอปพลิเคชัน
กรณีการใช้งาน
การพัฒนาแอปพลิเคชันแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์
ด้วยพร็อกซีของ Amazon RDS คุณสามารถสร้างแอปพลิเคชันแบบไร้เซิร์ฟเวอร์ที่ปรับขนาดได้มากขึ้น และพร้อมใช้งานมากขึ้น เนื่องจากแอปพลิเคชันเหล่านั้นใช้ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แอปพลิเคชันแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์สมัยใหม่รองรับเวิร์กโหลดที่แปรผันสูง และอาจพยายามเปิดการเชื่อมต่อฐานข้อมูลใหม่จํานวนมาก หรือเปิดการเชื่อมต่อจํานวนมากไว้แต่ไม่ได้ใช้งาน การเชื่อมต่อที่เพิ่มขึ้นหรือการเชื่อมต่อที่เปิดไว้จํานวนมาก อาจทําให้เซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูลของคุณตึงเครียด ซึ่งนําไปสู่การสืบค้นที่ช้าลงและความสามารถในการปรับขนาดแอปพลิเคชันที่จํากัด ด้วยการรวมและแชร์การเชื่อมต่อฐานข้อมูลที่กําหนดไว้แล้ว RDS Proxy ช่วยให้คุณสามารถปรับขนาดการเชื่อมต่ออื่นๆ อีกมากมายได้อย่างมีประสิทธิภาพจากแอปพลิเคชันแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ของคุณ RDS Proxy ยังช่วยให้คุณรักษาประสิทธิภาพของฐานข้อมูลที่คาดการณ์ได้ โดยควบคุมจำนวนการเชื่อมต่อฐานข้อมูลทั้งหมดที่เปิดอยู่ สุดท้าย RDS Proxy จะรักษาความพร้อมใช้งานของแอปพลิเคชันแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ของคุณ โดยการปฏิเสธการเชื่อมต่อแอปพลิเคชันที่ไม่สามารถให้บริการได้ซึ่งอาจทําให้ประสิทธิภาพของฐานข้อมูลของคุณลดลง
แอปพลิเคชัน Software-as-a-Service (SaaS) และอีคอมเมิร์ซ
แอปพลิเคชัน SaaS หรืออีคอมเมิร์ซมักจะเปิดการเชื่อมต่อฐานข้อมูลจํานวนมากเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้มีเวลาตอบสนองที่รวดเร็ว แม้จะมีแค่เพียงเศษเสี้ยวของการเชื่อมต่อแบบเปิดเหล่านี้เท่านั้นที่จูกใช้งานในแต่ละช่วง การเชื่อมต่อแบบเปิดแต่ไม่ได้ใช้งานเหล่านี้ยังคงใช้หน่วยความจําฐานข้อมูลและทรัพยากรการประมวลผล แทนที่จะกันพื้นที่ฐานข้อมูลของคุณเพื่อรองรับการเชื่อมต่อที่ไม่ได้มีการใช้งานเป็นส่วนใหญ่ คุณสามารถใช้ RDS Proxy เพื่อระงับการเชื่อมต่อที่ไม่ได้ใช้งานจากแอปพลิเคชันของคุณ ในขณะเดียวกันก็สร้างการเชื่อมต่อฐานข้อมูลตามที่จำเป็นเพื่อตอบสนองต่อคำขอที่ใช้งานได้อย่างเหมาะสมที่สุด