ความสามารถในการทำงานร่วมกันคืออะไร

ความสามารถในการทำงานร่วมกันคือความสามารถของแอปพลิเคชันและระบบในการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างปลอดภัยและอัตโนมัติ โดยไม่คำนึงถึงขอบเขตทางภูมิศาสตร์ การเมือง หรือองค์กร การแชร์ข้อมูลที่ประสานงานกันระหว่างองค์กรและแผนกต่างๆ ถือเป็นสิ่งสำคัญในหลายภาคส่วนสำหรับการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ปลายทาง ความสามารถในการทำงานร่วมกันหมายถึงมาตรฐาน โปรโตคอล เทคโนโลยี และกลไกที่ช่วยให้ข้อมูลไหลเวียนระหว่างระบบที่หลากหลายโดยมนุษย์แทรกแซงน้อยที่สุด ช่วยให้ระบบต่างๆ สามารถสื่อสารกันและแชร์ข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ โซลูชันความสามารถในการทำงานร่วมกันช่วยลด Data Silo และช่วยให้องค์กรบรรลุการสื่อสารที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรม ซึ่งหมายถึงประสิทธิภาพที่มากขึ้นและการนำเสนอบริการที่มีคุณภาพสูงขึ้น

ความสามารถในการทำงานร่วมกันมีประโยชน์อย่างไรบ้าง

ความสามารถในการทำงานร่วมกันช่วยให้ระบบที่หลากหลายพัฒนาความเข้าใจร่วมกันในข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ โดยเฉพาะ หากไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ระบบจะไม่สามารถตีความและใช้ข้อมูลเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันได้ ตัวอย่างเช่น แพทย์จะไม่สามารถใช้ข้อมูลภาพถ่ายโดยตรงจากเครื่อง MRI เมื่ออัปเดตบันทึกสุขภาพของผู้ป่วยหากไม่มีเฟรมเวิร์กการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ใช้ร่วมกัน 

องค์กรต่างๆ ใช้ระบบที่ทำงานร่วมกันได้เนื่องจากกลไกนี้มีข้อดีหลายประการ

ปรับปรุงการจัดการข้อมูลให้มีประสิทธิภาพ

ความสามารถในการทำงานร่วมกันของระบบช่วยให้สามารถเผยแพร่ข้อมูลได้อย่างสอดคล้องกันมากขึ้น โดยไม่ถูกรบกวนจากความเข้ากันไม่ได้ของระบบหรือกระบวนการของมนุษย์ องค์กรสามารถจัดการ ตรวจสอบ และปกป้องข้อมูลได้ดีขึ้น

แทนที่จะจัดการกับไปป์ไลน์ข้อมูลมากมายที่กระจัดกระจาย ผู้ดูแลระบบสามารถรวมสิทธิ์การเข้าถึงและการเคลื่อนย้ายข้อมูลจากแพลตฟอร์มเดียวได้ ระบบนี้ยังช่วยให้มั่นใจถึงความถูกต้องของข้อมูลเนื่องจากข้อมูลผ่านการแปลงเพียงเล็กน้อย ด้วยวิธีนี้ ระบบที่ทำงานร่วมกันได้จะช่วยลดความยุ่งยากขององค์กรในการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้อมูล จัดการผู้ใช้ ปกป้องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล 

เพิ่มความสามารถในการผลิต

ความสามารถในการทำงานร่วมกันช่วยให้แชร์ข้อมูลระหว่างระบบที่แตกต่างกันได้อย่างง่ายดาย ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรให้ดียิ่งขึ้น หากไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ระบบที่แตกต่างกันจะแชร์ข้อมูลกันได้ก็ต้องอาศัยขั้นตอนการจัดการและการแปลงข้อมูลเพิ่มเติม โหนดประมวลผลข้อมูลเพิ่มเติมมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดมากขึ้น ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันการวิเคราะห์ดาวน์สตรีม ไม่ว่าข้อผิดพลาดนั้นจะเกิดจากระบบหรือเกิดจากมนุษย์ก็ตาม

แต่ความสามารถในการทำงานร่วมกันจะลบข้อมูลที่ซ้ำกันและซ้ำซ้อนออกไป และช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและเกี่ยวข้องได้อย่างทันท่วงที ระบบสามารถทำงานได้แบบเรียลไทม์โดยมีค่าใช้จ่ายในการประมวลผลข้อมูลน้อยที่สุด 

ส่งเสริมความสามารถในการปรับขนาด

ความสามารถในการทำงานร่วมกันของข้อมูลช่วยเพิ่มความสามารถขององค์กรในการขยายการดำเนินงานและปรับให้เข้ากับแนวโน้มของตลาดที่มีพลวัตรสูงได้ ด้วยระบบที่ทำงานร่วมกันได้ องค์กรต่างๆ จะสามารถแชร์ข้อมูลในวงกว้างโดยไม่ถูกจำกัดด้วยข้อจำกัดด้านโครงสร้างและการดำเนินงาน

ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตขยายกำลังการผลิตโดยเพิ่มแมชชีนประเภทต่างๆ ที่สื่อสารและเข้าใจโปรโตคอลเดียวกัน 

ลดต้นทุน

ระบบที่ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ต้องใช้ขั้นตอนเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่ามีการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับงานต่างๆ เช่น การติดตั้งมิดเดิลแวร์ ซึ่งจะจัดรูปแบบและกระจายข้อมูลระหว่างจุดแลกเปลี่ยน

การติดตั้งส่วนประกอบซอฟต์แวร์ต่างๆ ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการพัฒนา การดำเนินงาน และการบำรุงรักษาเพิ่มเติม ดังนั้น องค์กรต่างๆ จึงเปลี่ยนมาใช้ระบบที่สามารถทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ความสามารถในการทำงานร่วมกันมีกรณีการใช้งานอะไรบ้าง

ความสามารถในการทำงานร่วมกันของระบบถือเป็นสิ่งสำคัญในสภาพแวดล้อมที่มีการพัฒนาทางดิจิทัล ซึ่งองค์กรต่างๆ แสวงหาข้อมูลเชิงลึกจากข้อมูลเพื่อเสริมศักยภาพในการตัดสินใจและเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุผลสำเร็จ เราจะเล่าให้ฟังว่าความสามารถในการทำงานร่วมกันของระบบส่งผลในเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมต่างๆ อย่างไรในลำดับถัดไป 

การดูแลสุขภาพ

สถาบันทางการแพทย์พึ่งพาอุปกรณ์ทางการแพทย์และระบบการดูแลสุขภาพที่เชื่อมโยงกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรวบรวม แชร์ และวิเคราะห์ข้อมูลด้านการดูแลสุขภาพ ระบบที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายเหล่านี้จะถ่ายโอนบันทึกสุขภาพ ผลการรักษา การเคลมประกัน และข้อมูลทางการแพทย์อื่นๆ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ไปยังแผนกการดูแลสุขภาพต่างๆ ความสามารถในการทำงานร่วมกันด้านการดูแลสุขภาพช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทำงานร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ของผู้ป่วยที่ดีขึ้นด้วยข้อมูลที่รวดเร็วและเชื่อถือได้ 

หน่วยงานราชการ

ความสามารถในการทำงานร่วมกันช่วยส่งเสริมแนวทางการบริหารจัดการที่ยั่งยืนซึ่งรัฐบาลนำไปใช้เพื่อปรับปรุงการให้บริการสาธารณะ โดยช่วยให้กระทรวงและหน่วยงานต่างๆ สามารถดำเนินการตามนโยบายที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลผ่าน eGovernment หรือโครงการริเริ่มในลักษณะเดียวกันนี้ การใช้เฟรมเวิร์กการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ใช้ร่วมกันยังช่วยให้หน่วยงานราชการประสานการทำงานร่วมกันมากขึ้นด้วยการก้าวข้ามผ่านอุปสรรคทางภาษา 

ความปลอดภัยสาธารณะ

ผู้เผชิญเหตุเบื้องต้น ได้แก่ ตำรวจ นักดับเพลิง และหน่วยกู้ภัย ต้องการข้อมูลที่ทันท่วงทีและถูกต้องเพื่อให้ความช่วยเหลือที่ดีที่สุดในกรณีที่เกิดฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ดังกล่าวจะใช้ระบบที่แชร์และทำความเข้าใจข้อมูลที่ใช้ร่วมกันเพื่อประสานงานการรับมือเหตุวิกฤต แทนที่จะดำเนินงานโดยใช้ระบบที่แยกจากกัน ในกรณีฉุกเฉิน ความถูกต้องแม่นยำ ความสอดคล้องกัน และประสิทธิภาพของระบบที่ทำงานร่วมกันได้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ที่ได้รับผลกระทบ 

กลาโหม

กองกำลังทหารใช้ระบบที่ทำงานร่วมกันได้เพื่อสนับสนุนภารกิจเชิงกลยุทธ์ การฝึกอบรม และการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วย ปฏิบัติการทางทหารจำเป็นต้องเผยแพร่ข่าวกรองที่ถูกต้องแม่นยำและทันท่วงทีจากสายการบังคับบัญชา กองกำลังติดอาวุธจากประเทศพันธมิตรยังสามารถจัดการฝึกซ้อมร่วมทางทหารโดยอาศัยข่าวกรองทางยุทธวิธีที่ใช้ร่วมกันซึ่งมีความสามารถในการปฏิบัติการร่วมกัน 

วิศวกรรมซอฟต์แวร์

นักพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้หลักความสามารถในการทำงานร่วมกันเพื่อให้แอปพลิเคชันซอฟต์แวร์ที่สร้างด้วยเฟรมเวิร์กโปรแกรมที่แตกต่างกันสามารถโต้ตอบกันได้อย่างราบรื่น โดยสร้างซอฟต์แวร์หรือไมโครเซอร์วิสที่แลกเปลี่ยนข้อมูลแบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องมีมิดเดิลแวร์หรือการเข้ารหัสเพิ่มเติม ผู้ใช้ปลายทางของคุณจะสามารถจัดการงานประจำวันได้จากแหล่งที่มาของข้อมูลเดียวผ่านซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกัน 

แมชชีนเลิร์นนิง

บริษัทปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างโมเดลการเรียนรู้เชิงลึกโดยการฝึก AI ด้วยชุดข้อมูลจำนวนมหาศาล ความสามารถในการทำงานร่วมกันของข้อมูลช่วยให้วิศวกรแมชชีนเลิร์นนิงสามารถฝึกโมเดลต่างๆ ด้วยแหล่งที่มาของข้อมูลที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งช่วยลดเวลาและต้นทุนในการฝึก การรวมโมเดล AI ที่ทำงานร่วมกันได้เข้ากับแอปพลิเคชันที่องค์กรมีอยู่นั้นก็ง่ายกว่าด้วย เนื่องจากโมเดลเหล่านี้สร้างขึ้นให้ทำงานร่วมกับโครงสร้างข้อมูลและบริบทเดียวกัน 

ระดับของความสามารถในการทำงานร่วมกันคืออะไร

องค์กรสามารถใช้ระบบที่มีความสามารถในการทำงานร่วมกันได้ใน 4 ระดับ

Foundational

ความสามารถในการทำงานร่วมกันขั้นพื้นฐานอธิบายถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ข้อมูลร่วมกันผ่านเครือข่าย แต่ไม่ได้ตีความข้อมูลนั้น โดยเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบที่แตกต่างกันในระดับพื้นฐาน โดยปกติแล้ว การแทรกแซงของมนุษย์ เช่น การป้อนข้อมูลด้วยตนเอง เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดช่องว่างความเข้าใจระหว่างระบบ 

เชิงโครงสร้าง

ความสามารถในการทำงานร่วมกันในเชิงโครงสร้าง หรือที่เรียกว่าความสามารถในการทำงานร่วมกันทางวากยสัมพันธ์จะให้รูปแบบข้อมูลหรือโครงสร้างที่สอดคล้องกันที่สามารถตีความได้โดยระบบที่แตกต่างกัน โดยช่วยให้ระบบสามารถดึงและตีความข้อมูลจากแหล่งภายนอกเพื่อประมวลผลในภายหลังได้

ตัวอย่างเช่น HL7 ช่วยให้สถาบันทางการแพทย์แชร์ข้อมูลสุขภาพระหว่างแผนกต่างๆ ได้อย่างปลอดภัยและถูกต้องแม่นยำ 

เชิงความหมาย

ความสามารถในการทำงานร่วมกันเชิงความหมายช่วยให้ระบบที่แตกต่างกันสามารถทำงานร่วมกันได้โดยมีการตีความน้อยที่สุด โดยฝังข้อมูลที่มีวัตถุประสงค์เจาะจงควบคู่ไปกับข้อมูลดิบในไฟล์ที่ถ่ายโอนระหว่างระบบ

ความสามารถในการทำงานร่วมกันเชิงความหมายนั้นไม่คลุมเครือและไม่มีที่ว่างที่จะเกิดข้อผิดพลาดหรือการตีความผิด ระบบที่ทำงานร่วมกันได้ในเชิงความหมายมีความเข้าใจแนวคิดเดียวกันกับสิ่งที่ข้อมูลพื้นฐานสื่อถึง 

เชิงองค์กร

ความสามารถในการทำงานร่วมกันในเชิงองค์กรช่วยให้หลายๆ ระบบสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ตีความได้นอกเหนือจากบริบททางเทคนิคของระบบนั้นๆ โดยจะปรับระบบข้อมูลในหลายๆ ด้านให้สอดคล้องกัน รวมถึงเป้าหมาย เวิร์กโฟลว์ และความคาดหวังขององค์กรโดยเฉพาะ ความสามารถในการทำงานร่วมกันในเชิงองค์กรช่วยให้มั่นใจได้ถึงการกำกับดูแลข้อมูลที่แข็งแกร่ง การทำงานร่วมกัน และการแชร์ข้อมูลข้ามขอบเขตในเชิงบริหารจัดการและขอบเขตทางภูมิศาสตร์ 

ความสามารถในการทำงานร่วมกันมีวิธีทำงานอย่างไรในการดูแลสุขภาพ

ความสามารถในการทำงานร่วมกันด้านการดูแลสุขภาพคือความพยายามที่จะสร้างสมดุลระหว่างความพร้อมใช้งานของข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยในสถาบันทางการแพทย์โดยลด Data Silo ลง

ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพใช้ระบบข้อมูลด้านสุขภาพที่ช่วยให้หลากหลายทีมสามารถควบคุมการเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยและข้อมูลสุขภาพในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ได้ ตัวอย่างเช่น แพทย์ที่รักษาผู้ป่วยในห้องฉุกเฉินสามารถดึงผลการตรวจน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานจากคลินิกในเครือได้อย่างรวดเร็ว และยังสามารถค้นหาการตรวจหัวใจได้จากแพทย์โรคหัวใจซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ที่ผู้ป่วยไปพบได้อีกด้วย

ในขณะเดียวกัน ผู้ให้บริการทางการแพทย์จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความเป็นส่วนตัวและการรักษาความปลอดภัยที่บังคับใช้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ป่วยด้วย ซึ่งเป็นเรื่องความสำคัญเมื่อองค์กรแชร์ข้อมูลกับบุคคลที่สามภายนอกเพื่อความก้าวหน้าของการวิจัยทางการแพทย์ การแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ป่วยที่ไม่ระบุตัวตน เช่น ข้อมูลการวินิจฉัย ข้อมูลจีโนม สูตรการรักษา และผลลัพธ์ของผู้ป่วย เป็นตัวอย่างหนึ่งของข้อมูลดังกล่าว 

ความสามารถในการทำงานร่วมกันในการดูแลสุขภาพทำงานโดยอาศัยการใช้มาตรฐานอุตสาหกรรมและการดำเนินการต่างๆ ซึ่งส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการแพทย์อย่างปลอดภัยระหว่างระบบที่แตกต่างกัน เราจะยกตัวอย่างในส่วนถัดไป

มาตรฐานคำศัพท์

มาตรฐานคำศัพท์หรือศัพทวิทยาแสดงถึงข้อตกลงเฉพาะเกี่ยวกับข้อคำ ชุดรหัส หรือคำอธิบายที่สนับสนุนความสามารถในการทำงานร่วมกันของข้อมูลด้านสุขภาพระหว่างระบบซอฟต์แวร์ทางการแพทย์ ตัวอย่างเช่น ICD-10 มีคำศัพท์ที่อธิบายอาการ โรค และภาวะแทรกซ้อนต่างๆ  

มาตรฐานเนื้อหา

มาตรฐานเนื้อหาเป็นเฟรมเวิร์กด้านเนื้อหาข้อมูลสำหรับระบบทางการแพทย์เพื่อแสดงข้อมูลด้านสุขภาพด้วยรูปแบบที่ตกลงร่วมกัน ตัวอย่างเช่น HL7 เป็นมาตรฐานการส่งข้อความที่กำหนดโครงสร้างข้อมูลและความหมายของข้อมูลสุขภาพในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งหมายความว่าทุกระบบซอฟต์แวร์ด้านสุขภาพสามารถตีความข้อมูลได้อย่างถูกต้อง 

มาตรฐานการส่งถ่าย

มาตรฐานการส่งถ่ายได้รับการร่างขึ้นเพื่อช่วยให้โซลูชันเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพสามารถส่งและรับข้อมูลได้อย่างน่าเชื่อถือ ตัวอย่างเช่น การถ่ายภาพดิจิทัลและการสื่อสารทางการแพทย์ (DICOM) ช่วยให้เครื่องสร้างภาพต่างๆ สามารถส่งข้อมูลภาพไปยังระบบอื่นๆ ในสถานพยาบาลได้

มาตรฐานความเป็นส่วนตัวและการรักษาความปลอดภัย

มาตรฐานความเป็นส่วนตัวช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมวิธีที่องค์กรด้านการดูแลสุขภาพรวบรวม จัดเก็บ และใช้ข้อมูลการดูแลสุขภาพส่วนบุคคลและบันทึกทางการแพทย์ของตนเองได้ ตัวอย่างเช่น Health Insurance Portability and Accountability Act (HIPAA) เป็นมาตรฐานที่ควบคุมดูแลการที่ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพในสหรัฐอเมริกานำมาตรการคุ้มครองข้อมูลที่ละเอียดอ่อนไปใช้ ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ถึงความปลอดภัยของผู้ป่วย 

มาตรฐานตัวระบุ

มาตรฐานตัวระบุเป็นรหัสเฉพาะที่ช่วยให้ระบบคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายสามารถระบุผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ หรือผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพได้ ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลใช้ดัชนีผู้ป่วยหลักขององค์กร (EMPI) เพื่อบันทึกการดูแลผู้ป่วยที่แผนกการแพทย์ต่างๆ ดำเนินการ 

ความสามารถในการทำงานร่วมกันทำงานอย่างไร

ทุกระบบข้อมูลมีข้อกำหนดด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ การทำงาน และการปฏิบัติงานที่ไม่เหมือนกัน เพื่อให้บรรลุความสามารถในการทำงานร่วมกัน ระบบต่างๆ จะต้องมีความสอดคล้องกันในระดับหนึ่งเมื่อแชร์ข้อมูล

เมื่อสร้างระบบที่ทำงานร่วมกันได้ วิศวกรจะต้องตรวจสอบว่าสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านสื่อที่ระบบเชื่อมต่ออยู่ได้ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการกำหนดมาตรฐานให้กับการสื่อสารด้วยฮาร์ดแวร์ รวมถึงโปรโตคอล รูปแบบข้อมูล และเทคโนโลยีเครือข่าย การใช้มาตรฐานอุตสาหกรรมจะช่วยกำหนดวิธีที่ระบบสื่อสารภายในบริบทที่คล้ายคลึงกันได้

เมื่อสร้างความสามารถในการทำงานร่วมกันขั้นพื้นฐานแล้ว วิศวกรระบบจะดำเนินการยกระดับการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่สามารถทำงานร่วมกันให้สูงขึ้น ในการดำเนินการดังกล่าว วิศวกรอาจกำหนดฐานความรู้ที่ใช้ร่วมกันซึ่งประกอบด้วยคำจำกัดความที่ทุกระบบที่เชื่อมต่อกันใช้อ้างอิง

ฐานความรู้นี้เป็นความจริงทั่วไปที่ช่วยปรับปรุงวิธีที่ระบบตีความข้อมูลจากแหล่งภายนอกโดยไม่ต้องจัดการข้อมูลเพิ่มเติม ตัวอย่างเช่น ในการผลิต ความสามารถในการทำงานร่วมกันในเชิงความหมายช่วยให้สามารถแชร์ข้อมูลที่รวบรวมจากส่วนการผลิตกับฝ่ายจัดการสินค้าคงคลังและระบบซัพพลายเชนได้อย่างอิสระ

อะไรคือความท้าทายในการทำงานร่วมกัน

ความสามารถในการทำงานร่วมกันถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการไหลเวียนของข้อมูลที่ราบรื่น ซึ่งจะช่วยปลดล็อกศักยภาพของระบบการปฏิบัติงานและระบบข้อมูลในอุตสาหกรรมต่างๆ องค์กรต่างๆ ต้องการความช่วยเหลือในการนำหลักการนี้ไปใช้เนื่องด้วยเหตุผลหลายประการ

การจัดการข้อมูลในวงกว้าง

การใช้ระบบที่ทำงานร่วมกันได้ต้องอาศัยความพยายามในการประสานงานเพื่อรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งเข้าด้วยกัน ระบบที่ล้าสมัยจัดเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลแบบแยกส่วนในรูปแบบที่ใช้งานร่วมกันไม่ได้ ทั้งนี้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญ เวลา และทรัพยากรในการประมวลผลเพื่อแยก ล้าง แปลง และโหลดแหล่งที่มาของข้อมูลที่แตกต่างกันจำนวนมหาศาลลงในพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่ใช้ร่วมกัน

นอกจากนี้ องค์กรต่างๆ จะต้องหลีกเลี่ยงการรบกวนเวิร์กโฟลว์การปฏิบัติงานของตนเมื่อเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การจัดการข้อมูลเพื่อรองรับการทำงานร่วมกันด้วย 

การรับมือกับข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว

องค์กรต้องบังคับใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อปกป้องข้อมูลผู้ใช้เมื่อใช้งานการทำงานร่วมกัน ความพยายามดังกล่าวมีความยุ่งยาก เนื่องจากหลายระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านไปป์ไลน์ข้อมูลที่ซับซ้อน ดังนั้น องค์กรต่างๆ จึงนำเทคโนโลยีและนโยบายด้านการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมเข้ามาเสริม 

การบังคับใช้มาตรฐานการทำงานร่วมกัน

โดยทั่วไปแล้ว องค์กรต่างๆ จะใช้ระบบที่ทำงานด้วยโปรโตคอลและโครงสร้างพื้นที่เก็บข้อมูลที่ปรับแต่งเอง มาตรฐานอุตสาหกรรมทั่วไปเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ระบบสามารถสื่อสารกันได้ในระดับสูงในการทำงานร่วมกัน แม้ว่าจะมีการนำมาตรฐานที่ทำงานร่วมกันได้มาใช้ แต่องค์กรต่างๆ จะต้องปรับปรุงแมชชีน ซอฟต์แวร์ และโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลของตนเองให้ทันสมัย เพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสองระบบขึ้นไปได้ 

AWS สามารถรองรับความต้องการในการทำงานร่วมกันของคุณได้อย่างไร

Amazon Web Services (AWS) นำเสนอ AWS AppFabric เพื่อรองรับความต้องการด้านความสามารถในการทำงานร่วมกันของคุณ

AWS AppFabric เป็นบริการระบบคลาวด์ที่ใช้งานร่วมกันได้ซึ่งองค์กรสามารถใช้เพื่อเชื่อมต่อแอปพลิเคชัน software as a service (SaaS) หลายแอปได้อย่างง่ายดาย และยังลดต้นทุนการดำเนินงานอีกด้วย AWS AppFabric ใช้สคีมามาตรฐานเพื่อช่วยให้ทีม IT รักษาความปลอดภัยของแอปพลิเคชันด้วยนโยบายและการแจ้งเตือนที่นิยมใช้กัน

ประโยชน์อื่นๆ ของบริการนี้มีดังนี้

  • AWS AppFabric ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานด้วย AI ช่วยสร้าง ซึ่งช่วยให้พนักงานสามารถปรับการทำงานให้เป็นระบบอัตโนมัติและค้นหาคำตอบได้ทันที 
  • คุณสามารถเชื่อมต่อ AWS AppFabric กับแอปพลิเคชัน SaaS ได้หลากหลาย รวมถึง Asana, Slack, Jira และ Dropbox หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ไปที่แอปพลิเคชันที่รองรับ AWS AppFabric
  • AWS AppFabric จะนำเข้าข้อมูลบันทึกการรักษาความปลอดภัยที่เป็นมาตรฐานจากแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อไปเก็บไว้ใน Amazon Simple Storage Service (Amazon S3) หรือผ่านทาง Amazon Kinesis Data Firehose ไปยังเครื่องมือรักษาความปลอดภัยของคุณโดยอัตโนมัติ

เริ่มต้นใช้งานความสามารถในการทำงานร่วมกันบน AWS ด้วยการสร้างบัญชีวันนี้

ขั้นตอนต่อไปบน AWS

ลงชื่อสมัครใช้งานบัญชีฟรี

รับสิทธิ์การเข้าถึง AWS Free Tier ได้ทันที

ลงชื่อสมัครใช้งาน 
เริ่มต้นการสร้างในคอนโซล

เริ่มต้นสร้างในคอนโซลการจัดการของ AWS

ลงชื่อเข้าใช้