อะไรคือความแตกต่างระหว่างไมโครเซอร์วิสกับ API
ไมโครเซอร์วิสและ API คือ 2 แนวทางในการออกแบบซอฟต์แวร์โมดูลาร์ การเขียนโปรแกรมโมดูลาร์มีจุดมุ่งหมายเพื่อออกแบบส่วนประกอบซอฟต์แวร์ที่มีขนาดเล็กลงซึ่งมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันเพื่อทำหน้าที่ที่ซับซ้อน โดยจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการออกแบบซอฟต์แวร์เป็นโค้ดเบสขนาดใหญ่แบบเดียวสำหรับทุกฟังก์ชัน ไมโครเซอร์วิสเป็นแนวทางสถาปัตยกรรมที่จะประกอบซอฟต์แวร์ให้เป็นบริการขนาดเล็ก อิสระ และมีความเชี่ยวชาญสูง ไมโครเซอร์วิสแต่ละรายการจะแก้ปัญหาเดียวหรือทำงานที่เฉพาะเจาะจง
ในทางตรงกันข้าม API เป็นสัญญาในการสื่อสารระหว่างส่วนประกอบซอฟต์แวร์ 2 ส่วน API จะระบุข้อมูลที่ส่วนประกอบซอฟต์แวร์จำเป็นต้องใช้ในการทำงาน รวมถึงการตอบสนองที่คาดหวัง ไมโครเซอร์วิสจะสื่อสารระหว่างกันโดยใช้ API อย่างไรก็ตาม นักพัฒนายังใช้ API ของบุคคลที่สามเพื่อผสานรวมฟังก์ชันที่มีอยู่แล้วเข้ากับโค้ดของพวกเขา
วิธีการทำงาน: ไมโครเซอร์วิสเทียบกับ API
ไมโครเซอร์วิสมีโค้ดทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับฟังก์ชั่นแอปพลิเคชันเฉพาะ API เป็นกลไกการสื่อสารในการเข้าถึงฟังก์ชั่นดังกล่าว ไมโครเซอร์วิสเปิดเผยการทำงานผ่าน API เพื่อให้ไมโครเซอร์วิสอื่นๆ สามารถใช้พวกมันได้เมื่อจำเป็น อย่างไรก็ตาม นักพัฒนายังใช้ API ที่ไม่เกี่ยวข้องกับไมโครเซอร์วิสอีกด้วย เช่น API จากผู้ขายบุคคลที่สามและคู่ค้า
ต่อไป เราจะอธิบายรายละเอียดว่าทั้งสองทำงานอย่างไร
วิธีการทำงานของไมโครเซอร์วิส
สถาปัตยกรรมไมโครเซอร์วิสเป็นวิวัฒนาการของสถาปัตยกรรมที่เน้นการบริการ (SOA) นักพัฒนาซอฟต์แวร์จะแยกย่อยแอปพลิเคชันทั้งหมดออกเป็นแต่ละฟังก์ชันที่ทำงานเป็นโปรแกรมแบบสแตนด์อโลนขนาดเล็ก ไมโครเซอร์วิสโต้ตอบกับแต่ละฟังก์ชันเพื่อดำเนินงานที่ซับซ้อนมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น แอป Ridesharing อาจมีบริการร่วมหลวมๆ หลายบริการ เช่น บริการเรียกข้อมูลตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ การชำระเงิน หรือส่งการแจ้งเตือน เมื่อผู้ใช้เรียกรถบนแอป ไมโครเซอร์วิสทั้งหมดจะทำงานร่วมกันเพื่อช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาคนขับและชำระเงิน
API ทำงานอย่างไร
API เป็นอินเตอร์เฟซที่ช่วยให้ส่วนประกอบซอฟต์แวร์สองส่วนใดๆ แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน API ระบุสัญญาการสื่อสาร นักพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้สัญญาในการเข้าถึงฟังก์ชันการทำงานเฉพาะหรือข้อมูลจากโค้ดของบุคคลที่สาม
ตัวอย่างเช่น แอป Ridesharing สามารถใช้ API การชำระเงินโดยการส่งรายละเอียดบัตรเครดิตของลูกค้าไปยัง API ได้ โค้ดที่อยู่เบื้องหลัง API สามารถหักเงินจากการชำระเงินจากบัตรได้อย่างปลอดภัยและส่งคืนการตอบสนองทีว่าสำเร็จหรือล้มเหลวไปที่แอป Ridesharing
ความแตกต่างที่สำคัญ: เปรียบเทียบระหว่างไมโครเซอร์วิสกับ API
ทั้งไมโครเซอร์วิสและ API เป็นกองเทคโนโลยีที่สำคัญที่ช่วยให้องค์กรสร้างและปรับขนาดแอปพลิเคชัน ไมโครเซอร์วิสเป็นเหมือนอิฐก้อนเล็กในการสร้างแอปพลิเคชัน แต่ละบริการมักจะมีฐานข้อมูล ชั้นการเข้าถึงข ้อมูลตรรกะทางธุรกิจ และ API API รวมถึงรายละเอียดการเขียนโปรแกรมต่างๆ เช่น รูปแบบข้อมูล ความคาดหวังในการแลกเปลี่ยนข้อมูล และโปรโตคอล
โดยรองรับการพัฒนาแบบกระจายในรูปแบบที่แตกต่างกัน
วัตถุประสงค์
สถาปัตยกรรมไมโครเซอร์วิสมีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการพัฒนาซอฟต์แวร์โดยการแบ่งบล็อกโค้ดขนาดใหญ่ออกเป็นบริการขนาดเล็กหลายบริการ ด้วยวิธีนี้นักพัฒนาซอฟต์แวร์หลายรายสามารถทำงานบนไมโครเซอร์วิสต่างๆ พร้อมกันตามข้อกำหนดที่ตกลงกันไว้ได้
ในขณะเดียวกัน API จะเชื่อมต่อฟังก์ชั่นทีต่างๆ หรือบริการภายในหรือนอกแอปพลิเคชัน ขอบเขตของ API ภายในจะถูกจำกัดอยู่ในแอปพลิเคชันเดียว ในขณะเดียวกัน API สาธารณะสามารถนำมาใช้ในการเข้าถึงฟังก์ชันโอเพนซอร์สโดยไม่คำนึงถึงภาษาโปรแกรมและเครื่องมือที่ใช้สร้างโอเพนซอร์สนั้น
ประเภท
ไมโครเซอร์วิสจะแบ่งออกกว้างๆ เป็นแบบมีสถานะและไม่มีสถานะ ไมโครเซอร์วิสที่มีสถานะจะจำผลลัพธ์ที่ผ่านมาของตนเองเมื่อประมวลผลคำขอปัจจุบัน แต่ไมโครเซอร์วิสที่ไม่มีสถานะจะไม่ Retain ความทรงจำที่ผ่านมา
ในขณะเดียวกัน API ก็มีการแบ่งประเภทออกตามกลุ่มเป้าหมาย สถาปัตยกรรม และโปรโตคอล ตัวอย่างเช่น นักพัฒนาใช้ประเภทต่อไปนี้ของ API เมื่อสร้างแอปพลิเคชัน: ส่วนตัว, สาธารณะ, พาร์ทเนอร์, ไมโครเซอร์วิส, ผสม, SOAP และ REST API
การรักษาความปลอดภัย
ไมโครเซอร์วิสช่วยให้คุณควบคุมความปลอดภัยและความพร้อมใช้งานของข้อมูลได้มากขึ้น เนื่องจากได้รับการพัฒนาและจัดการโดยทีมงานภายใน
ในขณะเดียวกัน API อาจหรืออาจจะไม่ปลอดภัยขึ้นอยู่กับผู้ที่เขียนโค้ดที่อยู่เบื้องหลังและข้อมูลที่ร้องขอ ดังนั้นนักพัฒนาจะต้องระมัดระวังเมื่อใช้งาน API ภายนอก
การแก้จุดบกพร่อง
การแก้จุดบกพร่องไมโครเซอร์วิสเป็นเรื่องยากเนื่องจากรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบกระจาย นอกจากนี้ไมโครเซอร์วิสของแต่ละส่วนอาจจะพัฒนาด้วยการเขียนโปรแกรมภาษาที่แตกต่างกันและมีเฟรมเวิร์กและทำปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบที่คาดเดาไม่ได้ ทำให้ยากยิ่งขึ้นที่นักพัฒนาจะที่จะทำซ้ำสถานะข้อผิดพลาด ติดตามการเคลื่อนไหวของข้อมูล ตรวจสอบตัวแปรการเขียนโปรแกรม และระบุสาเหตุ
ซึ่งแตกต่างจากสถาปัตยกรรมไมโครเซอร์วิสที่แก้ไขจุดบกพร่องของ API ได้อย่างตรงไปตรงมามากกว่า นักพัฒนาสามารถใช้วิธีการทีละขั้นตอนในการสังเกตพฤติกรรม API และระบุปัญหาตั้งต้นได้
เมื่อใดที่ควรจะใช้ไมโครเซอร์วิสเทียบกับ API
ไมโครเซอร์วิสและ API ไม่ใช่เทคโนโลยีที่แข่งขันกัน แต่ทั้งสองทำงานร่วมกันเพื่อเปลี่ยนตรรกะทางธุรกิจให้เป็นแอปพลิเคชั่นที่ทันสมัยที่ปรับขนาดได้ซึ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้า
ไมโครเซอร์วิสต้องมี API เพื่อใช้ฟังก์ชันการทำงานบางอย่างในการโต้ตอบและการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับบริการของบุคคลที่สาม เมื่อมี API ไมโครเซอร์วิสสามารถแชร์ข้อมูลและช่วยให้องค์กรปรับขนาดแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว
การรวมไมโครเซอร์วิสและ API เข้าด้วยกันเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมเมื่อฐานโค้ดเดียวนั้นซับซ้อนเกินไปสำหรับทีมของคุณ ด้วยการเปลี่ยนไปใช้สถาปัตยกรรมแบบกระจาย คุณสามารถประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้เมื่อใช้คุณสมบัติใหม่หรือทำการเปลี่ยนแปลงกับแอปพลิเคชันของคุณ
ความท้าทายในการปรับขนาด: เปรียบเทียบระหว่างไมโครเซอร์วิสกับ API
ทั้ง API และไมโครเซอร์วิสช่วยให้องค์กรสามารถปรับขนาดการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์แบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตามยังคงมีความท้าทายที่ API และไมโครเซอร์วิสต้องเผชิญกับการเข้าถึงและความซับซ้อนที่มากขึ้นของแอปพลิเคชัน
สุดท้ายแล้ว นักพัฒนาต้องจัดการ ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาหลายพันอย่างของไมโครเซอร์วิสและ API ที่พวกเขาใช้ พวกเขาจะต้องปรับใช้ไมโครเซอร์วิสกับโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมสำหรับการบำรุงรักษาโค้ดและการจัดการการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว
การจัดการไมโครเซอร์วิสตามขนาดที่ต้องการ
นักพัฒนาซอฟต์แวร์ปรับใช้ไมโครเซอร์วิสกับคอนเทนเนอร์เพื่อเอาชนะปัญหาความสามารถในการปรับขนาดได้ คอนเทนเนอร์คือแพ็คเกจซอฟต์แวร์ที่มีทรัพยากรทั้งหมดและสภาพแวดล้อมการดำเนินงานความต้องการของไมโครเซอร์วิส การใช้คอนเทนเนอร์ช่วยให้ไมโครเซอร์วิสสามารถทำงานได้อย่างอิสระจากฮาร์ดแวร์และระบบปฏิบัติการ คุณสามารถจัดสรรหรือลดทรัพยากรการคำนวณให้กับไมโครเซอร์วิสที่ต้องการให้ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป
การจัดการ API ทีตามขนาดที่ต้องการ
API อาจพบปัญหาคอขวดเมื่อได้รับการเรียก API พร้อมกันมากเกินไป ซึ่งทำให้เซิร์ฟเวอร์ API ล้นจนเป็นสาเหตุของปัญหาประสิทธิภาพการทำงานและส่งกลับรหัสข้อผิดพลาดไปยังแอปพลิเคชันต้นทาง
ถ้าคุณใช้ API ของบุคคลที่สาม ประสิทธิภาพการทำงานของแอปพลิเคชันของคุณอาจได้รับผลกระทบจากประสิทธิภาพการทำงานของโค้ดที่คุณไม่ได้จัดการ แต่ถ้าคุณใช้ API ภายในคุณสามารถใช้เครื่องมือการจัดการ API เพื่อตรวจสอบและรักษาความปลอดภัย API ได้ในขนาดที่ต้องการ
สรุปความแตกต่าง: เปรียบเทียบระหว่างไมโครเซอร์วิสกับ API
ไมโครเซอร์วิส |
API |
|
วัตถุประสงค์ |
แบ่งโปรแกรมขนาดใหญ่เป็นส่วนประกอบการทำงานขนาดเล็ก |
กำหนดสัญญาการสื่อสารระหว่างสองส่วนประกอบซอฟต์แวร์ |
ใช้ |
ไมโครเซอร์วิสมีโค้ดทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับฟังก์ชั่นแอปพลิเคชันเฉพาะ |
API เป็นกลไกการสื่อสารในการเข้าถึงฟังก์ชั่นนั้น |
ประเภท |
ไมโครเซอร์วิสแบบมีสถานะและไม่มีสถานะ |
แบ่งตามกลุ่มเป้าหมาย สถาปัตยกรรม และโปรโตคอล |
การรักษาความปลอดภัย |
ควบคุมภายใน สถาปัตยกรรมที่ทนต่อความผิดพลาด |
อาจขึ้นอยู่กับนักพัฒนาบุคคลที่สาม |
การแก้จุดบกพร่อง |
มีความท้าทายเพราะสถาปัตยกรรมแบบกระจายและเส้นทางข้อมูลที่ซับซ้อน |
วิธีการที่คาดการณ์ได้ในการสังเกต ติดตาม และแยกปัญหา |
ความสามารถในการปรับขนาด |
ใช้คอนเทนเนอร์เพื่อจัดการตามขนาดที่ต้องการ |
ใช้เครื่องมือการจัดการ API เพื่อจัดการตามขนาดที่ต้องการ |
AWS สามารถช่วยเหลือในด้านความต้องการสำหรับไมโครเซอร์วิสและ API ได้อย่างไร
Amazon Web Services (AWS) นำเสนอโซลูชั่นที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสำหรับการปรับใช้ การจัดการ และการรักษาความปลอดภัยไมโครเซอร์วิสและ API ในระบบคลาวด์ องค์กรต่างๆ ใช้เทคโนโลยี AWS เพื่อเปลี่ยนจากสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์แบบเดิมและก้าวสู่การใช้งานเว็บแอปพลิเคชันที่ทันสมัย ยกตัวอย่าง 2 บริการดังนี้
ด้วย Amazon Elastic Container Service (Amazon ECS) คุณสามารถปรับใช้ จัดการ และปรับขนาดแอปพลิเคชันไมโครเซอร์วิสบนระบบคลาวด์ได้ โดยจะจัดหาโครงสร้างพื้นฐานพื้นฐานโดยอัตโนมัติและเชื่อมต่อแอปพลิเคชันของคุณไปยังแหล่งข้อมูล AWS อื่นๆ
เกตเวย์ของ Amazon API มอบแพลตฟอร์มส่วนกลางที่ช่วยให้คุณสามารถสร้าง ปรับใช้ รักษา และรักษาความปลอดภัย API ในทุกขนาด โดยจะทำให้ API สามารถส่งและตอบสนองต่อคำร้องขอไปยังบริการโดยเฉพาะด้วยเวลาแฝงและอัตราข้อผิดพลาดที่น้อยที่สุดได้
เริ่มต้นใช้งานไมโครเซอร์วิสบนและ API บน AWS ด้วยการสร้างบัญชี AWS วันนี้